ประวัติความเป็นมาของเชียงใหม่
เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ในตำนานแรก ๆ
ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำ นานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา
กล่าวถึงลัวะว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวี วงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะว่าเป็นคนเกิดในรอยเท้าสัตว์
ด้วยเหตุที่ลัวะถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนาน รุ่นหลังอย่าง
ตำนานสุวรรณคำแดงหรือตำนานเสาอินทขิล
เล่าว่าลัวะเป็นผู้สร้างเวียง เจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรีหรือเชียงใหม่
ลัวะจึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรกที่สร้างเมือง
แต่ก่อนหน้าที่ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วแต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกันที่ลำพูน
ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองกล่าวว่า พระนางจามเทวีวงศ์
ธิดากษัตริย์เมืองละโว้เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ. 1310-1311 ครั้งนั้นพระนางได้พาบริวารข้าราชบริพารที่เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการต่างๆขึ้นมาด้วย
หริภุญไชย
จึงได้รับเอาพุทฑศาสนาและศิลปวัฒนธรรมละโว้มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่
จวบจน ประมาณปี พ.ศ. 1839 พญามังราย
ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว
ครองเมืองเงินยางซึ่งได้แผ่อำนาจครอบลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย
ขึ้นเป็นกองบัญชาการซ่องสุมไพร่พลเพื่อยึดครองหริภุญไชย
เนื่องจากหริภุญไชยเป็นเมืองศูนย์กลาง ความเจริญและเป็นชุมทางการค้า
พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน
พ.ศ. 1837
ก่อนจะย้ามาสร้างเวียงเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ
พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ร่วมกันสถาปนา
"นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น
พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม
มีการตรากฎหมายที่เรียกว่า “มังรายศาสตร์” รวมถึงรับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักร
ซึ่งทำให้พระภิกษุในล้านนาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช
กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนาได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวางพร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เองที่ได้มีการสัยคายนาพระไตรปิฏขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายสมัยพญาเมืองแก้ว
เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุงพ่อยแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมากประกอบกับเกิดอุทกภัย
กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ. 2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา
กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง
และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ
ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี
ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละขึ้นครองเมืองในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง
การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่น ๆ
ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย
มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้าเป้นมณฑลพายัพ
แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม
ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี
ธิดาของเจ้าอินทวชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา
ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ขยายตัวยิ่งขึ้นและใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิกเชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง
หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น
ตราสัญญาลักษณ์
รูปช้างเผือกหันหน้าตรงในเรือนแก้ว
คำขวัญ
ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า
บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ ติดต่อกับรัฐฉานของประเทศพม่า โดยมีดอยผีปันน้ำของดอยคำ
ดอยปกกลา ดอยหลักแต่ง ดอยถ้ำป่อง ดอยถ้วย ดอยผาวอก
และดอยอ่างขางอันเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาแดนลาว เป็นเส้นกั้นอาณาเขต
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสามเงา อำเภอแม่ระมาด และอำเภอท่าสองยาง
(จังหวัดตาก) มีร่องน้ำแม่ตื่นและดอยผีปันน้ำ ดอยเรี่ยม ดอยหลวงเป็นเส้นกั้นอาณาเขต
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย
อำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า (จังหวัดเชียงราย) อำเภอเมืองปาน อำเภอเมืองลำปาง
(จังหวัดลำปาง) อำเภอบ้านธิ อำเภอเมืองลำพูน อำเภอป่าซาง อำเภอเวียงหนองล่อง
อำเภอบ้านโฮ่ง และอำเภอลี้ (จังหวัดลำพูน)
ส่วนที่ติดจังหวัดเชียงรายและลำปางมีร่องน้ำลึกของแม่น้ำกก สันปันน้ำดอยซาง
ดอยหลุมข้าว ดอยแม่วัวน้อย ดอยวังผา และดอยแม่โตเป็นเส้นกั้นอาณาเขต
ส่วนที่ติดจังหวัดลำพูนมีดอยขุนห้วยหละ ดอยช้างสูง
และร่องน้ำแม่ปิงเป็นเส้นกั้นอาณาเขต
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อำเภอขุนยวม
อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอแม่สะเรียง และอำเภอสบเมย (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) มีดอยผีปันน้ำ
ดอยกิ่วแดง ดอยแปรเมือง ดอยแม่ยะ ดอยอังเกตุ ดอยแม่สุรินทร์ ดอยขุนยวม ดอยหลวง
และร่องแม่ริด แม่ออย และดอยผีปันน้ำดอยขุนแม่ตื่นเป็นเส้นกั้นอาณาเขตจังหวัดเชียงใหม่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า
ใน 5
อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง อำเภอไชยปราการ
รวมระยะทางทั้งสิ้น 227 กิโลเมตร พื้นที่เขตแดนส่วนใหญ่เป็นป่าเขา
จึงไม่สามารถปักหลักเขตแดนได้ชัดเจน และเกิดปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ภูมิประเทศ
จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 12,566,911 ไร่ มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ และเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา
ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปมีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาและป่าละเมาะ
มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง มีภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือ
ดอยอินทนนท์ สูงประมาณ 2,565 เมตร อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง
นอกจากนี้ยังมีดอยอื่นที่มีความสูงรองลงมาอีกหลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก (อำเภอฝาง)
สูง 2,285
เมตร ดอยหลวงเชียงดาว (อำเภอเชียงดาว) สูง 2,170 เมตร ดอยสุเทพ(อำเภอเมืองเชียงใหม่)
สูง 1,601
เมตร สภาพพื้นที่แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
พื้นที่ภูเขา คิดเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 ของจังหวัด ประกอบด้วยทิวเขาอินทนนท์
(หรือถนนธงชัยตะวันออก) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด พาดยาวจากทิศเหนือจรดใต้
ตามแนวรอยต่อกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทิวเขาแดนลาว ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด
ตามเขตรอยต่อกับรัฐฉาน ประเทศพม่า และทิวเขาขุนตาน
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด พาดผ่านในทิศเหนือ-ใต้ พื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่เป็นป่าต้นน้ำลำธาร
ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
ส่วนบางพื้นที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเขาชาติพันธุ์ต่าง ๆ
พื้นที่ราบลุ่มน้ำและที่ราบเชิงเขา
กระจายอยู่ทั่วไประหว่างหุบเขาทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ได้แก่ ที่ราบลุ่มน้ำปิง
ลุ่มน้ำฝาง ลุ่มน้ำแม่งัด เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเกษตร
ภูมิอากาศ
จังหวัดเชียงใหม่มีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี
มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 25.4 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20.1 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร
สภาพภูมิอากาศจังหวัดเชียงใหม่อยู่ภายใต้อิทธิพลมรสุม 2 ชนิด คือ
ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งภูมิอากาศออกได้เป็น 3 ฤดู
ประชากร
ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่มีประชากรทั้งสิ้น 1,678,284 คน (พ.ศ. 2557) แยกเป็นชาย 816,620 คน หญิง 861,664 คน ความหนาแน่นเฉลี่ย 83 คน/ตร.กม.
ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วยประชากรชนกลุ่มน้อย 64,532 คน กระจายตามอำเภอใน 17 อำเภอ
อำเภอที่มีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุด ได้แก่ อำเภอฝาง รองลงมา ได้แก่
อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่อาย และอำเภอเวียงแหง ประชากรส่วนใหญ่เป็น
"ชาวไทยวน" หรือ "คนเมือง" ที่เหลือเป็น ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทขึน
และไทยสยาม
ประเพณีวัฒนธรรม
เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
คนเชียงใหม่ได้สั่งสมวัฒนธรรมประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่อง
โดยส่วนใหญ่มีความผูกพันกับพุทธศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม ประเพณีที่สำคัญ ได้แก่
ปีใหม่เมือง (สงกรานต์)
ที่มา https://siripak.wordpress.com
ประเพณียี่เป็ง
ที่มา https://siripak.wordpress.com
ประเพณีเข้าอินทขิล
จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่วัดเจดีย์หลวงเป็นการบูชาเสาหลักเมืองโดยการนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันดอก
มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ
จัดขึ้นในอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
บริเวณสวนสาธารณะบวกหาด มีขบวนรถบุปผาชาติ และนางงามบุปผาชาติ
ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์
จัดขึ้นในเดือนเมษายน ในวันที่ 15 เป็นต้นไป ของทุกปี
ที่บริเวณตัวเมืองจอมทอง มีขบวนรถจากชุมชน ห้างร้าน กลุ่มต่างๆ กว่า 40 ขบวน แห่ไปตามเมืองจอมทอง อำเภอจอมทอง
จนถึงวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี ตามตำนานเกิดขึ้นที่อำเภอเภอจอมทอง
ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและแห่งเดียวในโลก ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์
กลายเป็นต้นแบบของการแห่ไม้ค้ำสะหลีของชาวล้านนา จนได้รับความนิยมไปทั่วภาคเหนือ
และเป็นประเพณีที่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับความนิยมอย่างมา
อาหารพื้นเมืองจังหวัดเชียงใหม่
น้ำพริกหนุ่ม
น้ำพริกหนุ่มเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อมากของชาวเหนือ
การที่เรียกชื่ออย่างนี้เพราะใช้พริกอ่อน
หรือคนเหนือ เรียกว่าพริกหนุ่มเป็นหลัก นำมาจิ้มกับข้าวเหนียวอุ่นๆ
แกล้มด้วยผัก จี้หูด หรือ แคบหมู
ที่มา http://www.cm-mots.com
น้ำพริกอ่อง
น้ำพริกชนิดนี้นำมาจากพม่า มีเนื้อเหนียวแน่นด้วยหมูสับ
ที่โขลกเข้ากับเครื่องน้ำพริก
จากนั้นนำไปผัดน้ำมันเติมน้ำนิดหน่อย จิ้มทานกับข้าวนึ่ง แกล้มผักดิบ
หรือผักลวกตามอัทยาศัย
ที่มา http://www.cm-mots.com
แกงฮังเล
เป็นอาหารที่มาจากพม่า มีเนื้อหมูเป็นหลัก แกงด้วยกะทิและมีผงกะหรี่หรือผงฮังเล
คล้ายๆแกงมัสมั่น
มีทั้งหมูสามชั้น และเนื้อหมูเป็นมันย่องน่ารับประทาน ส่วนเรื่องของ
รสชาตินั้นมีทั้งรสเค็มนำ
ตามด้วยหวานและเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมขิงและมันถั่วลิสง
ที่มา http://www.cm-mots.com
ขนมจีนน้ำเงี้ยว
โดยดั้งเดิมเป็นของพวกไทใหญ่หรือชาวเงี้ยวในพม่า เดิมเรียกกันว่า
"ข้าวเส้นน้ำไต" ขนมจีนน้ำเงี้ยวที่เรียกว่าอร่อยนั้น
น้ำแกงจะต้องข้น และหอมจากน้ำพริกแกง ที่คลุกเคล้ากับหมูสับละเอียด ใส่มะเขือส้มสีดาที่มีรสเปรี้ยว
และยังมีเลือดหมู
หรือเลือดไก่เป็นส่วนผสมซึ่งต้องนิ่มพอดีไม่แข็งหรือเละจนเกินไป
และที่ขาดไม่ได้ คือเกสรดอกงิ้วป่า
ซึ่งนำมาตากแห้งผสมลงไปด้วยจึงได้รสชาติที่กลม
ที่มา http://www.cm-mots.com
แหล่งท่องเที่ยว
พระบรมธาตุดอยสุเทพ
เป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งของเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานอยู่บนดอยสุเทพ
สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง
ห่างจากตัวเมืองเก่าประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถมองเห็นจากตัวเมืองได้ชัดเจน
ที่มา http://travel.kapook.com
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร
ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่
เป็นเจดีย์ใหญ่ที่สูงที่สุดของอาณาจักรล้านนา
สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1913-1954)
ต่อมาพระยาติโลกราชโปรดให้ช่างขยายเจดีย์ให้สูงและ
กว้างกว่าเดิม แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2024 และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน
ที่มา http://travel.kapook.com
วัดพระสิงห์วรวิหาร
อยู่ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง พญาผายูกษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์เม็งรายโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างวัดนี้ขึ้น ในปีพ.ศ. 1888 พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24 ศอกองค์หนึ่ง
เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิของพญาคำฟู
ที่มา http://travel.kapook.com
สวนสัตว์เชียงใหม่
เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ได้รับการจัดสภาพอย่างดี บริเวณกว้างขวาง
มีบรรยากาศร่มรื่นและมีสัตว์อยู่มากกว่า 2,000 ชนิด
ทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำเข้ามาจากต่างประเทศ
ที่มา http://travel.kapook.com
ดอยอินทนนท์
เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดของแดนสยาม 2,565 เมตร จุดสิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 1009 มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี
เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์
เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย
ที่มา http://travel.kapook.com
แผนที่จังหวัดเชียงใหม่
ที่มา http://www.sawadee.co.th
การเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่
เดินทางโดยรถส่วนตัว
- เส้นทางแรก จากกรุงเทพฯใช้เส้น ทางหลวงหมายเลข 32 หรือสายเอเชีย ผ่านอยุธยา
ถึงนครสวรรค์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1ไปกำแพงเพชร ผ่านตาก เมื่อถึงอำเภอเถิน
แยกซ้ายเข้า ทางหลวง หมายเลข 106 ผ่านอำเภอลี้ อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 690 กิโลเมตร
- เส้นทางที่สอง จากกรุงเทพฯเดินทางตาม เส้นทางแรก
ผ่านอำเภอเถินไปจนถึงจังหวัดลำปาง แยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านอำเภอห้างฉัตร อำเภอแม่ทา
จังหวัดลำพูน ผ่านอำเภอสารภี ถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร
เดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง
มีให้เลือกใช้บริการทั้งของเอกชนและของรัฐวิสาหกิจ
จะนั่งรถธรรมดาหรือรถปรับอากาศตามแต่ชอบใจ ราคาก็แตกต่างกันไป
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯที่สถานีขนส่งสายเหนือ หรือหมอชิตใหม่ ที่ถนนกำแพงเพชร 2 ถึงสถานีขนส่งอาเขต
จังหวัดเชียงใหม่ทุกวัน
เดินทางโดยรถไฟ
จากกรุงเทพฯ
สถานีรถไฟหัวลำโพง
วิ่งไปสุดทางที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ มีรถวิ่งให้บริการทุกวัน ทั้งรถเร็ว
รถด่วน รถด่วนพิเศษนครพิงค์ และรถด่วนพิเศษสปรินเตอร์ ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางช้า-เร็วต่างกัน
เดินทางโดยเครื่องบิน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ (low
cost) และไม่ต่ำ
อาทิเช่น สายการบินไทย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ และสายการบินแอร์เอเชีย
ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ
แต่ถ้าใครบ้านอยู่ใกล้ดอนเมือง ก็สามารถใช้บริการสายการบินนกแอร์
ที่ออกจากสนามบินดอนเมืองได้
การเดินทางในเชียงใหม่
ถ้าใครไม่ได้ขับรถส่วนตัวไปเอง
จะไปเที่ยวไหนก็นั่งรถสองแถวสีแดงที่วิ่งอยู่ทั่วเมืองได้
โบกให้จอดให้ส่งได้ทุกที่ ไม่มีปรับ ค่าโดยสารตอนนี้ก็น่าจะเริ่มต้นที่ 10 บาท ถูกแพงตามระยะทาง
ต่อรองได้บ้างตามความสามารถส่วนบุคคล หรือจะเช่ารถขับก็มีให้เลือกหลายเจ้า
หลายบริษัท ทั้งของไทยของเทศ
ความที่เชียงใหม่เจริญไม่ต่างจากกรุงเทพ การกินการอยู่
มีให้เลือกหลายหลากมากมาย แต่ถ้าต้องการลองลิ้มชิมอาหารพื้นเมือง หรืออยากรู้ว่าคนเมืองเขากินอยู่อย่างไร
ก็แนะนำให้ไปเดินตลาด หรือกาดไม่ว่าจะเป็นกาดหลวง (ตลาดวโรรส) กาดประตูเชียงใหม่
และกาดสมเพชร เป็นต้น
** ไปเชียงใหม่มาแล้ว ชอบหรือไม่อย่างไร เขียนมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
แหล่งอ้างอิง
ผู้สร้างบล็อก
นางสาว อัญชลี ละปือ รหัสนักศึกษา 581749148 section AF มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย